เหตุการณ์เซียนมวยยึดเวทีมวยราชดำเนินไม่ยอมรับคำตัดสิน จนทำให้ประธานผู้ตัดสิน พรหมเมศย์ จักษุรักษ์ ตกอยู่ในภาวะ”กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” โดนกดดันอย่างหนักจนกระทั่งต้องออกมาประกาศผ่านไมค์ว่ามวยคู่แป๊ะยิ้มกับกระดูกเหล็ก “ไม่มีผลการตัดสิน”
พลันนั้นวงการมวยก็ถอยหลังลงคลองไปอีกครั้ง จากเหตุการณ์ที่ ส่องสะท้อนปัญหาวงการมวยที่เกิดขึ้น การทำงานของหลายภาคส่วนโปรโมเตอร์ สนาม กรรมการ แฟนมวย บุคคลทั้ง7ประเภทในวงการมวยตามพรบ.กีฬามวย
แม้ไม่มีแฟนมวยหรือเซียนมวยเป็น1ใน7ประเภทแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เซียนมวยมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินของกรรมการ
กระแสการเล่นได้เสียที่หนักหน่วงรุนแรงหลังจากวิกฤตการณ์โควิด ดูเหมือนมีไม่น้อยเข้าทำนอง
“มือใครยาวสาวได้สาวเอา”
ผลประโยชน์เกิดขึ้น การอัดฉีดเงินรางวัลค่าตัวนักมวยกันเป็นหลักแสนๆ หลักล้าน
เป็นเรื่องดีที่ผลประโยชน์ตกแก่นักมวยแต่หากเรามองอีกมุม เซียนมวยที่ยอมลงทุนอัดฉีดขนาดนั้น เขาต้องได้เงินกันไปเท่าไหร่ กระแสการได้เสียกันเป็นหลักแสน หลักล้าน ถึงได้ฉีดกันแรง
เมื่อการพนันรุนแรง การทำอย่างไรก็ได้เพื่อผลประโยชน์ก็เกิดขึ้น การจ้างล้ม การวางยานักมวย การจ้างกรรมการและการใช้เหลี่ยมต่างๆเพื่อให้การตัดสินเป็นไปตามต้องการ แม้กระทั่งการสั่งให้นักมวยเต้นยก5 จนมวยไทยน่าเบื่อก็มาจากตรงนี้แหละ
ก่อนนี้การเล่นพนันมวยเล่นหนักเล่นแรงก็จริงแต่เล่นกันตามเกมเล่นกันแฟร์ แต่ว่ายุคปัจจุบันมีเว็บพนัน มีมวยพักยกที่เล่นกันถึงเงินมากๆ
จึงน่าเป็นห่วงเพราะเมื่อภาพออกไปแล้ววงการมวยถูกจับตามองในทางลบจากสังคมภายนอกที่นำเสนอข่าวไปทั่วโลก
เราจะอยู่กันอย่างนี้หรือจะต้องมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย???
