แม้แนวคิดกาสิโนถูกกฎหมายในไทยจะมีแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนบางส่วน แต่ก็ยังมี “เสียงคัดค้าน” ที่หนักแน่นและมีเหตุผลในตัวเองไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจากกลุ่มศาสนา ภาคประชาสังคม และนักวิชาการบางสาย
1. ศีลธรรมและจริยธรรม: “การพนันไม่ใช่ทางออกของประเทศ”
กลุ่มศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม รวมถึงกลุ่มวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยม มองว่าการเปิดกาสิโนแม้จะถูกกฎหมาย แต่ก็ ขัดกับหลักจริยธรรมพื้นฐาน และอาจนำสังคมไทยไปในทิศทางที่ผิด
“ประเทศจะอยู่รอดได้ ต้องสร้างด้วยการศึกษาและแรงงาน ไม่ใช่เงินจากการพนัน”
— พระนักพัฒนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2. ความเสี่ยงทางสังคม: หนี้สิน ความยากจน และอาชญากรรม
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม และนักสังคมสงเคราะห์หลายคนเตือนว่า
การเปิดกาสิโนอาจ ทำให้คนรายได้น้อยกลายเป็นหนี้มากขึ้น
สถิติจากต่างประเทศพบว่าในบางกรณี กาสิโนทำให้เกิด “การติดพนันแบบเงียบ”
ครอบครัวแตกแยก และ อาชญากรรมเกี่ยวกับการเงิน มักพุ่งสูงในพื้นที่ใกล้แหล่งพนัน
3. ความกังวลเรื่องการฟอกเงินและทุนสีเทา
หนึ่งในข้อคัดค้านสำคัญที่สุดคือ ความเสี่ยงที่กาสิโนจะกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนมืด ในการฟอกเงิน
เงินหมุนเวียนมหาศาลภายในกาสิโน ทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก
ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เช่น เมียนมาและกัมพูชา เคยประสบปัญหา กาสิโนถูกใช้โดยกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ
หากรัฐไม่มีระบบกำกับที่เข้มแข็งพอ อาจเปิดทางให้ “มาเฟีย” เข้ามากุมเศรษฐกิจเงาในไทย
4. ไม่เชื่อมั่นในภาครัฐ
แม้แนวคิดจะฟังดูดี แต่หลายกลุ่มตั้งคำถามว่า…
รัฐไทยจะ “ควบคุมได้จริงหรือ?”
หากเปิดแล้วเกิดปัญหา จะมีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง?
จะป้องกันไม่ให้กลายเป็นบ่อนของนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลได้จริงไหม?
5. ความเหลื่อมล้ำ: ใครได้ประโยชน์จริง?
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การเปิดกาสิโนอาจ “เสริมความรวยให้คนรวย” มากกว่าช่วยเหลือคนจนจริง ๆ
ใบอนุญาตกาสิโนมีมูลค่ามหาศาล จึงมีแต่กลุ่มทุนขนาดใหญ่เท่านั้นที่เข้าถึงได้
แรงงานระดับล่างอาจได้แค่ “งานบริการขั้นต่ำ” โดยไม่ได้ผลตอบแทนที่เป็นธรรม
ผลประโยชน์หลักอาจไหลกลับไปที่ทุนใหญ่ ไม่ได้กระจายอย่างที่รัฐคาดหวัง
บทสรุป: เสียงคัดค้านคือเครื่องเตือนใจ ไม่ใช่อุปสรรค
การคัดค้านไม่ใช่การขัดขวางความเจริญ แต่คือ “แรงเบรกที่จำเป็น” เพื่อให้โครงการใด ๆ ที่ใหญ่ขนาดนี้ ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้นและโปร่งใสจริง ๆ
กาสิโนจะเปิดได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่เสียงสนับสนุนฝ่ายเดียว — แต่ต้องตอบให้ได้ด้วยว่า
“จะจัดการข้อคัดค้านเหล่านี้อย่างไร?”